1. เตรียมตัว
หลังจากที่เราได้จองตั๋วเครื่องบินกับสายการบิน หรือ เอเจนซี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้เราพิมพ์ Itinerary หรือ E-Ticket ติดตัวไปขึ้นเครื่องด้วย ใบ Itinerary หรือ E-Ticket ยังไม่ใช่ตั๋วที่ขึ้นเครื่องได้เลย เราจะต้องผ่านกระบวนการเช็คอิน ตรวจสอบเอกสารการเดินทาง สำหรับมือใหม่แนะนำว่าควรไปถึงสนามบินก่อนเครื่องออก 2-3 ชั่วโมง
ซ้าย. Air asia Travel Itinerary ขวา. E-Ticket จากเอเจนซี่รับจองตั๋วเครื่องบิน
สำหรับเอกสารที่ต้องเตรียมก็มี Passport (มีอายุเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือนในวันเดินทาง) + Itinerary หรือ E-ticket ของสายการบิน ในกรณีที่ใช้บัตรเครดิตชำระค่าตั๋วเครื่องบิน ทางสายการบินอาจขอดูบัตรเครดิตใบนั้น จำเป็นต้องพกบัตรเครดิตใบนั้นไปด้วย และสุดท้ายอย่าลืมพกปากกาไปด้วย 2 ด้าม (สำรอง 1 ด้าม)
2. ตรวจสอบเที่ยวบิน
เมื่อถึงสนามบินให้เช็คดูจอมอนิเตอร์ว่าเที่ยวบินที่เรานั่งมีสถานะเป็นยังไง ออกตามเวลาหรือ Delay หรือไม่ เค้าน์เตอร์เช็คอินหมายเลขอะไร
ป้ายแสดงสถานะเที่ยวบิน สนามบินสุวรรณภูมิ
ป้ายแสดงสถานะเที่ยวบิน สนามบินดอนเมือง
3. เช็คอิน – โหลดกระเป๋า
ให้เดินไปที่เคาน์เตอร์ของสายการบินช่องผู้โดยสารระหว่างประเทศ เพื่อทำการเช็คอิน – โหลดกระเป๋า โดยจะต้องใช้ Itinerary + หนังสือเดินทาง (Passport) เสร็จจากขั้นตอนนี้เราจะได้ใบ ตม. เปล่าๆ มาคนละใบ + Boarding Pass ให้ตรวจสอบความถูกต้อง ชื่อ – นามสกุล ที่นั่ง เกต และเขียนข้อมูลลงในใบ ตม. ให้เรียบร้อย
Counter check-in สนามบินสุวรรณภูมิ
ตัวอย่าง Boarding Pass
ใบ ตม. จะเป็นแผ่นพับสีขาว สำหรับคนไทยจะกรอก 2 หน้า บัตรขาออก และ บัตรขาเข้า การกรอกนั้นให้กรอกด้วยปากกาสีน้ำเงิน หรือ สีดำ กรอกเป็นภาษาอังกฤษช่องละ 1 ตัวอักษร ข้อมูลที่กรอกจะต้องตรงกับ Passport หากเขียนผิดสามารถใช้ลิควิดลบ หรือขีดฆ่าตัวอักษร แล้วเขียนใหม่ได้
บัตรขาออก
ข้อควรระวัง. ด้านบนสุดให้กรอกนามสกุลก่อน แล้วตามด้วยชื่อ คนไทยมักจะเขียนด้วยความคุ้นเคยขึ้นต้นด้วยชื่อก่อน ซึ่งมันผิด
บัตรขาเข้า
เฉพาะชาวต่างชาติ
4. ตรวจหนังสือเดินทาง
เอกสารที่ต้องใช้ Passport + ใบ ตม. (บัตรขาออก + บัตรขาเข้า) ที่กรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
ทางเข้าที่ตรวจหนังสือเดินทาง สนามบินดอนเมือง
หลังจากเช็คอิน และ กรอกใบ ตม. เสร็จเรียบร้อยแล้วให้เดินหาป้ายตรวจหนังสือเดินทาง (Passport Control) แล้วเดินไปตามป้ายเข้าประตูตรวจหนังสือเดินทาง ญาติ และ เพื่อนที่มาส่งจะส่งได้ถึงแค่ตรงนี้
ที่ตรวจหนังสือเดินทางจะแบ่งช่องสำหรับคนไทย และ สำหรับชาวต่างชาติ ให้มองดูป้าย เลือกเข้าให้ถูก
การออกนอกประเทศจะต้องให้ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ตรวจประวัติว่าเป็นบุคคลที่สามารถออกนอกประเทศได้ ปัจจุบันมีการตรวจหนังสือเดินทางอยู่ 2 แบบ
4.1 ช่องตรวจอัตโนมัติ (Automatic Channel) เป็นช่องขนาดเล็กให้ผู้เดินทางเข้าไปได้ทีละคน ให้เราทำตามขั้นตอน (มีคนช่วยแนะนำ) เมื่อเสร็จแล้วประตูช่องจะเปิดให้เอง มีการบันทึกข้อมูลการออกนอกประเทศที่แถบบันทึกในเล่ม Passport แต่จะไม่มีตราประทับให้เห็น ในขั้นตอนนี้จะถูกเก็บใบ ตม. ส่วนบัตรขาออก (ในสนามบินสุวรรณภูมิจะใช้ช่องตรวจอัตโนมัติเกือบทุกคน)
4.2 ช่องตรวจโดยใช้เจ้าหน้าที่ ให้เข้าไปทีละคน ยื่น Passport ให้กับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จะเช็คประวัติและลงตราประทับออกนอกประเทศลง Passport และเก็บใบ ตม. ส่วนบัตรขาออก (สนามบินดอนเมืองส่วนมากจะเป็นช่องตรวจโดยใช้เจ้าหน้าที่)
หมายเหตุ. ถ้าใครเคยอ่านขั้นตอนขึ้นเครื่องบินในในช่วงปี 2006 ลงมาจะมีการไปชำระค่าภาษีสนามบิน (Airport Tax) ก่อนเข้า ตม. แต่ปัจจุบันไม่มีแบบนี้แล้ว ภาษีสนามบินได้ถูกรวมไปกับค่าโดยสารแล้ว ไม่ต้องไปจ่ายเพิ่ม สนามบินส่วนมากก็จะรวมค่าภาษีสนามบินเข้าไปในค่าโดยสาร ส่วนน้อยที่ยังต้องจ่ายแยกก็มีสนามบิน Denpasar (Ngurah Rai International Airport) บาหลี
5. สแกนสัมภาระ
หลังจากตรวจหนังสือเดินทางเสร็จ จะเป็นทางเดินเข้าช่องสแกนสัมภาระ ให้เอาสิ่งของในกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกง กระเป๋าสตางค์ ไปเก็บไว้ในกระเป๋าถือ เสื้อคลุมต้องถอดออก บางสนามบินที่เข้มงวดมากจะต้องถอดเข็มขัด และ รองเท้าด้วย ส่วนน้ำดื่มจะต้องทานให้หมดก่อนเข้าสแกนสัมภาระ หรือไม่ก็ต้องทิ้งลงถังขยะ
กระเป๋าถือ เป้ ให้วางลงในสายพานผ่านเครื่อง x-ray ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ส่วนตัวผู้โดยสารจะต้องเดินผ่านประตูตรวจจับโลหะ
6. รอขึ้นเครื่อง
หลังจากสแกนสัมภาระเสร็จ ให้หยิบกระเป๋าคืนกลับมา ถ้ามีเวลาเหลือก่อนเครื่องออกมากกว่า 2 ชั่วโมงอาจจะกินข้าว แวะดูของ หรือชอปปิ้ง Duty free ได้ จากนั้นก็ไปขึ้นเครื่องตามเกตที่ระบุไว้ใน Boarding Pass ก่อนเวลา Boarding Time ระหว่างรอขึ้นเครื่องให้สังเกตจอหน้าเกตว่าเป็น Flight ที่เราบินหรือเปล่า บางครั้งก็มีการเปลี่ยนเกตได้เหมือนกัน
Duty Free สนามบินดอนเมือง
เกตรอขึ้นเครื่อง สนามบินดอนเมือง
เกตรอขึ้นเครื่อง สนามบินสุวรรณภูมิ
7. ขึ้นเครื่องบิน
ก่อนเครื่องออก 30-40 นาที (Boarding Time) จะมีเจ้าหน้าที่เรียกขึ้นเครื่อง โดยจะเรียกผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วใน class แพงขึ้นก่อน เช่น First Class, Business class จากนั้นจึงตามด้วยผู้โดยสารที่เหลือ เจ้าหน้าที่จะขอดู Passport พร้อม Boarding Pass และฉีก Boarding Pass ส่วนของสายการบินออก คืนส่วนที่เหลือให้เรา
การขึ้นเครื่องบินจะมี 2 แบบดังนี้
- งวงช้าง เป็นทางเดินจากเกตเข้าสู่ตัวเครื่องบินได้เลย
- บัสเกต ต้องนั่งรถบัสจากเกตไปยังลานจอดเครื่องบินที่อยู่ไกลออกไปจากอาคารผู้โดยสาร
เดินขึ้นเครื่อง
งวงช้างเดินขึ้นเครื่อง
บัสเกต
8. นั่งตามหมายเลข
เมื่อขึ้นไปอยู่บนเครื่องแล้วให้นั่งตามหมายเลขที่ระบุไว้ หมายเลขที่นั่งจะติดอยู่บริเวณที่เก็บสัมภาระ หากหาไม่เจอ หรือมีคนมานั่งที่เรา ให้ขอความช่วยเหลือกับแอร์ฯ หรือ สจ๊วต บนเครื่อง สัมภาระที่นำติดตัวขึ้นเครื่องสามารถเก็บไว้ในช่องด้านบนได้ ส่วนของมีค่าให้เก็บไว้กับตัว จากนั้นก็คาดเข็มขัดนิรภัย รูดสายให้กระชับพอดีตัว ปรับพนักเก้าอี้ตั้งตรง เปิดม่านบังแสง ปิดโทรศัพท์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด ดูสาธิตการใช้อุปกรณ์ฉุกเฉิน
หมายเลขที่นั่งบนเครื่อง
9. เดินทาง
ระหว่างเดินทางแนะนำให้คาดเข็มขัดนิรภัยไว้ตลอด บนเครื่องบินมีห้องน้ำสามารถใช้งานได้ในช่วงที่รักษาระดับการบินไว้ได้แล้ว ให้สังเกตจากไฟสถานะในห้องน้ำว่าสามารถใช้ได้หรือเปล่า หลังจากเครื่องบินขึ้นแล้วสามารถเปิดใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ Tablet, Smartphone (ใน Flight mode), กล้องถ่ายรูป คอมพิวเตอร์ ฯลฯ
บนเครื่องบินเจ้าหน้าที่จะแจกใบ ตม. ของประเทศที่เรากำลังจะเดินทางไปถึง ในบางประเทศอาจจะมีใบศุลกากรให้กรอกเพิ่มอีก 1 ใบ เช่นญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ให้กรอกบนเครื่องให้เรียบร้อยก่อนถึงจุดหมายปลายทาง
ระหว่างเดินทาง
ห้องน้ำบนเครื่องบิน Air asia A320-200
กรอกใบ ตม. บนเครื่องบิน
10. ถึงที่หมาย
เดินตามป้าย Arrivals หรือ Immigration เตรียมเข้าด่าน ตม. ของประเทศนั้น ให้เตรียมเอกสารดังนี้ Passport + ใบ ตม. ของประเทศนั้น ในบางครั้ง ตม. อาจจะถามข้อมูลเพิ่มว่ามาพักกี่วัน มากับใคร มาทำอะไร พักที่ไหน ควรมีคำตอบเตรียมไว้ในใจ
ด่าน ตม. ส่วนมากจะแบ่งแถวสำหรับคนชาติตัวเอง (xxx Citizen) กับคนชาติอื่น (Visitor) คนไทยให้ให้เข้าแถว Visitor
เดินตามป้าย Arrivals
11. รับกระเป๋า
เสร็จจาก ตม. จะเป็นทางไปรับกระเป๋าที่เราโหลดมา ให้มองหาชื่อเที่ยวบินในป้ายของแต่ละสายพาน หรือที่หน้าจอรวม แล้วไปรอรับกระเป๋าที่ช่องนั้น หลังจากได้กระเป๋าแล้วให้สำรวจความถูกต้องของกระเป๋าเดินทางว่าเป็นของตัวเองหรือเปล่า ดูว่ากระเป๋ามีส่วนไหนแตกเสียหายหรือไม่ ในกรณีที่เสียหายสามารถขอเคลมกับทางสายการบินได้ตามเงื่อนไขของสายการบิน แต่ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดี ก็เดินออกจากอาคารผู้โดยสารได้เลย
11.1 คนที่ไม่มีสิ่งของต้องสำแดง (Customs Nothing To Declare) ให้ออกทางช่องเขียว
11.2 คนที่มีสิ่งของต้องสำแดง (Customs Goods To Declare) เช่นนำเข้าสินค้าปริมาณมากในเชิงพานิชย์ ให้ออกทางช่องแดง
11.2 คนที่มีสิ่งของต้องสำแดง (Customs Goods To Declare) เช่นนำเข้าสินค้าปริมาณมากในเชิงพานิชย์ ให้ออกทางช่องแดง
เป็นอันเสร็จขั้นตอนการเดินทาง
รอรับกระเป๋า
ออกจากอาคารผู้โดยสาร ผ่านช่องเขียว/แดงของศุลกากร
สิบเอ็ดขั้นตอนการเดินทางไปต่างประเทศนี้ น่าจะทำให้เข้าใจขั้นตอนการเดินทางมากขึ้น มันอาจจะงงบ้างในครั้งแรก แต่ครั้งต่อไปรับรองว่ามันเป็นเองโดยอัตโนมัติครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น