วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

วิธีปลูกต้นหอม

การปลูกต้นหอม



หอม
 หรือ Shallot ผัก พื้นบ้านที่เราแสนจะคุ้นเคย เราจะเจอต้นหอมได้บ่อยๆทั้งในไข่เจียว ไข่ตุ๋น ในน้ำแกงจืด หรือแม้แต่ในก๋วยเตี๋ยวหรือเมนูยำต่างๆ ล้วนต้องใส่ต้นหอมทั้งนั้นค่ะ เด็กมักจะเขี่ยต้นหอมทิ้ง เพราะดูแล้วชิ้นเล็กๆเขียวแกมขาว ดูไม่ค่อยจะเด่นและมีประโยชน์เท่าไร ทั้งรสชาติก็เผ็ดร้อนและมีกลิ่นฉุนอีกด้วย แต่ต้นหอมนี้เอง ที่มีคุณค่าอาหารหลายชนิด เช่น แคลเซียมและฟอสฟอรัส ในสัดส่วนที่เหมาะสมแก่ร่างกาย ทั้งยังมีเบต้าแคโรทีน และสารพวกฟลาโวนอยด์บางชนิด เช่น เควอทิซีน และสไปริโอไซด์ ที่เป็นเกราะสำคัญในการป้องกันมะเร็งที่เราพบในไวน์แดง


คุณประโยชน์ ต้นหอมแม้จะมีกลิ่นฉุน แต่รสเผ็ดร้อนของต้นหอมก็แกล้มอาหารจีน แก้เลี่ยนได้เป็นอย่างดี จะสังเกตุว่าบนโต๊ะจีนมักนิยมทานต้นหอมจิ้มมัสตาร์ด ให้รสชาติที่เข้มขึ้นอีกทั้งความฉุนของต้นหอมเมื่อนำไปบุบแล้วพอกตรงที่ถูก แมลง กัดต่อย ก็แก้ปวดได้ชะงัด แถมยังแก้อาการเป็นหวัด คัดจมูก เมื่อบุบต้นหอมดม ทำให้จมูกโล่งได้นะคะ เมื่อบริโภคต้นหอมสดๆ ยังได้เบต้าแคโรทีน มากถึง 76.30 ไมโครกรัม วิตามินซีสด 22 มิลลิกรัม แคลเซียม 47 กรัม และฟอสฟอรัสถึง 33 กรัมต่อต้นหอมที่บริโภค 100 กรัม ต้นหอมยังช่วยลดคลอเลสเตอรอลในเลือด ควบคุมความดันโลหิตสูง และป้องกันหลอดเลือดหัวใจอุดตันอีกด้วย


การปลูก
การเพาะปลูกต้นหอมนั้นทำได้ 2 วิธี คือ ใช้หัวปลูก หรือใช้เมล็ดหว่าน แต่การใช้เมล็ดจะประหยัดกว่า ใช้เวลาในการปลูก 45 วัน แต่ที่นิยมปลูกจะใช้หัวปลูกเพราะระยะเวลาการเก็บเกี่ยวจะใช้เวลาประมาณ 30-32 วันต้องรดน้ำทั้งเช้าเย็น จนเมื่อต้นเริ่มมีใบยื่นยาว ลดน้ำลงเหลือเพียงวันละครั้ง เคล็ดลับปลูกต้นหอมให้งามอยู่ที่การคลุมดินให้คงความชื้นไว้ แต่ระบายน้ำได้ดี โดยการนำเอาฟางแห้ง หญ้าแห้ง เปลือกถั่วลิสง หรือแกลบดิน คลุมหน้าดินไว้ ต้นหอมโตเต็มที่สามารถนำมาใช้งานได้ สูงประมาณ 1 ฟุตกว่าๆ ก็ถอนมาได้เลยค่ะ ส่วนแมลงศัตรูตัวร้ายของต้นหอมคือ เพลี้ยไฟ ใช้แลนเนท 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ 10 ลิตร แล้วฉีดพ่น 7-10 วันครั้ง เพื่อป้องกัน หากเกิดเพลี้ยไฟ ก็ฉีดพ่น 3-4 วันครั้งหอมแบ่งเท่าที่บ้านผมปลูกนะจะมี 3 สายพันธ์ คือ1.พันธ์ที่มาจากนครพนม2.พันธ์ที่มาจากเชียงใหม่ (หอมเหนือ)3.พันธ์ที่มาอินโดนิเชียลักษณะทั้ง 3 สายพันธ์นี้จะชอบฤดูการปลูกที่แตกต่างกัน
เช่นครั้ง
พันธ์ที่มาจากนครพนมจะมีความทนทานต่อหน้าฝนพันธ์ที่มาจากเชียงใหม่ --จะให้ผลผลิตมากในช่วงหน้าหนาว
พันธ์ที่มาอินโดนิเชีย--พันธ์นี้จะพิเศษกว่าเพื่อนทนได้ทาน ต้นใหญ่ใบหนาทนต่อโรค และสภาพอากาศ แต่ข้อเสียกลิ่นค่อนข้างแรงกว่า 2 สายพันธ์ที่กว่ามา

ขั้นตอนการปลูกหอม
เริ่มต้นจากการเตรียมดิน
ก่อนที่เราจะเริ่มปลูกเราควร

เตรียมดิน อย่างน้อย 1 อาทิตย์ โดยไถพรวนดิน ภายในอาทิตย์นั้นๆ 2 ครั้ง โดย
3 วันไถครั้งหนึ่ง เมื่อเตรียมดินเสร็จแล้วเราก็เริ่มลงมือปลูกเลย

สิ่งที่ต้องเตรียม
1.พันธ์หอมแบ่ง
2.ฟางข้าว หรือ แกลบ
3.อุปกรณ์ทำแปลงผัก เช่น จอบ คราด

เมื่อเราเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างแล้วเรามาลงมือเลย

1.เริ่มจากการไถแปลงขนาดกว้าง 1.5 เมตร ความยาวแล้วแต่ความสะดวกในการรดน้ำ
2.เมื่อไถเสร็จเราก็เริ่มเขี่ยแปลงโดยใช้คราด ให้ดินสม่ำเสมอกัน
3.เมื่อแปลงเรียบดีแล้ว ก็ลงมือ ปักพันธ์ หอมลงในดินเลย ก่อนที่เราจะปักลงเราควรแกะกรีบหอมออกก่อน ระยะห่างระหว่างหัวประมาณ 3x3 ซม
4.เมื่อปักพันธ์หอมเสร็จเราก็นำฟางข้าว หรือ ว่า แกลบ มาคุมแปลง เพื่อดูซับความชื่น ในแปลงผัก
5. หลังจากนั้นเราก็รดน้ำ เช้า-เย็น
6. เมื่อผักเริ่มงอกและลำต้นยาว ประมาณ 3 ซม ระยะนี้จะใช้เวลา 10 วัน ให้เราเริ่มใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 ปุ๋ย ชีวภาพ หรือ เคมีก็ได้ ถ้าเป็นเคมี แนะนำ สูตร 16-8-8 และก็ฉีดฮอร์โมน หรือ 

EM
7. ควรดูแลวัชพืช ช่วงนี้ด้วย
8.เมื่อผ่านไป 20 วัน เราก็เริ่มใส่ปุ๋ย ครั้งที่ 2 และก็ทำเหมือนกันกับ ขั้นตอนที่ 6
9.เมื่อผักมีอายุ 30-32 วัน เราก็เริ่มเก็บได้

โรคและศัตรู1.โรคโครนเน่า เกิดจากช่วงที่ฝนตกติดต่อกัน หลายๆ วัน แล้วดินมันแชะ
2. หนอน กินใบ หนอนจะมีสองแบบ คือ กินในหลอด และกินนอกหลอด ให้สังเกต ว่าหอมเรามีอาการเหียวเฉา หรือ ไม ถ้ามีอาการ แบบนั้น ก็ให้ไป แกะดูในใบหอม เริ่ม หากเจอ หนอนในหลอด ก็ฉีดฉีดยา ฆ่ามันเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น